วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อำเภอสุคิริน

ยินดีต้อนรับเข้าสู้อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส



คำขวัญอำเภอ  หลายประเพณี ที่สร้างตน ต้นลำธาร หวานผลไม้ ใต้เหมืองทอง
ที่อยู่ที่ว่าการอำเภอ   ม.4 ต.สุคิริน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส 96190
หมายเลขโทรศัพท์   0-7365-6071
หมายเลขโทรสาร  0-7365-6071

          ประวัติและความเป็นมาอำเภอสุคิริน
เดิมเคยเป็นกิ่งอำเภอหนึ่งที่ได้จัดตั้งขึ้น พ.ศ. 2474 ชื่อ "กิ่งอำเภอปาโจ" ขึ้นกับอำเภอโต๊ะโมะ (อำเภอแว้งในปัจจุบัน) กิ่งอำเภอนี้จัดตั้งเพราะมีชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาขอสัมปทานทำเหมืองแร่ทองคำบริเวณเทือกเขาลีซอ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลโต๊ะโมะ มีราษฎรอพยพเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก ทางราชการจึงได้พิจารณาจัดตั้งกิ่งอำเภอนี้ขึ้นมาเพื่อสะดวกในการปกครอง ดูแลผลประโยชน์ของทางราชการในการจัดเก็บภาษีอากรและให้บริการประชาชน โดยแบ่งเขตการปกครองเป็น 2ตำบล คือ ตำบลโต๊ะโมะ และตำบลมาโมง
         
ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 เกิดสงครามอินโดจีนขึ้น ชาวฝรั่งเศสเจ้าของกิจการเหมืองแร่ทองคำได้หนีภัยสงคราม จึงทิ้งเหมืองแร่ทองคำ ดังนั้นรัฐบาลไทยโดยกรมโลหะกิจ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้แต่งตั้ง พระอุดมธรณีศาสตร์ มาเป็นผู้ดำเนินการเหมืองแร่ทองคำดังกล่าวแทน ประมาณปีเศษเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในบริเวณเหมืองแร่ทองคำ และต่อมาได้ล้มเลิกกิจการไป คนไทยที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ได้อพยพออกหมด
         
ต่อมาใบปี พ.ศ. 2506 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กรมประชาสงเคราะห์จัดตั้งนิคมพัฒนาตนเองภาคใต้ จังหวัดนราธิวาส เพื่ออพยพราษฎรที่มีฐานะยากจน และไม่มีที่ดินทำกินจากท้องที่ต่างๆ เข้ามาประกอบอาชีพ เขตนิคมคลุมพื้นที่ 2อำเภอ คือ อำเภอสุคิริน และอำเภอจะแนะ
         
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2520 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอสุคิริน ขึ้นประกอบด้วย 2ตำบล คือ ตำบลมาโมง และตำบลสุคิริน และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2529 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอสุคิริน เป็นอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส จนถึงปัจจุบัน
         
คำว่า "สุคิริน" เป็นชื่อตำหนักที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชทานเมื่อคราวเสด็จมาประทับแรม เมื่อปี พ.ศ. 2510 ซึ่งหมายความว่า "พรรณไม้งามเขียวชอุ่ม" ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชทานเพื่อความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยป่าและภูเขา มีพรรณไม้นานาชนิดขึ้นอยู่อย่างงดงาม



สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไป มรสุมเขตร้อน มี 2 ฤดู คือน ฤดูร้อน และ ฤดูฝน
อาณาเขตอำเภอสุคิริน ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้
ทิศเหนือ                 ติดต่อกับอำเภอจะแนะ อำเภอระแงะ และอำเภอสุไหงปาดี
ทิศตะวันออก            ติดต่อกับอำเภอสุไหงปาดีและอำเภอแว้ง
ทิศใต้                     ติดต่อกับรัฐกลันตัน (ประเทศมาเลเซีย)
ทิศตะวันตก              ติดต่อกับรัฐกลันตัน (ประเทศมาเลเซีย) และอำเภอจะแนะ




การปกครองส่วนภูมิภาคอำเภอสุคิรินแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 5 ตำบล 41 หมู่บ้าน ได้แก่1. มาโมง      (Mamong)                  10 หมู่บ้าน 
2. สุคิริน        (Sukhirin)                   13 หมู่บ้าน 
3. เกียร์          (Kia)                           5 หมู่บ้าน 
4. ภูเขาทอง  (Phukhao Thong)        8 หมู่บ้าน 
5. ร่มไทร       (Rom Sai)                   5 หมู่บ้าน

การปกครองส่วนท้องถิ่นท้องที่อำเภอสุคิรินประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 แห่ง ได้แก่
เทศบาลตำบลสุคิริน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลสุคิริน ตำบลมาโมง และตำบลเกียร์
องค์การบริหารส่วนตำบลมาโมง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลมาโมง (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลสุคิริน)
องค์การบริหารส่วนตำบลสุคิริน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสุคิริน (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลสุคิริน)
องค์การบริหารส่วนตำบลเกียร์ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเกียร์ (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลสุคิริน)
องค์การบริหารส่วนตำบลภูเขาทอง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลภูเขาทองทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลร่มไทร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลร่มไทรทั้งตำบล

เศรษฐกิจ
อาชีพหลัก ได้แก่  1.เกษตรกรรม (ทำนา) 2.สวนยางพารา 3.สวนผลไม้ 
อาชีพเสริม ได้แก่  1.เลี้ยงสัตว์ 2.ทอผ้า 3.จักสาน

ประชากร  จำนวนประชากรทั้งสิ้น รวม 18,250  คน
จำนวนประชากรชาย รวม 9,563  คน
จำนวนประชากรหญิง รวม 8,687 คน
ความหนาแน่นของประชากร 35 คน/ตร.กม.

แหล่งท่องเที่ยวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ม.2 ต.ภูเขาทอง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส

ศาลเจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ ม.3 ต.ภูเขาทอง  อ.สุคิริน จ.นราธิวาส



ล่องแก่งแม่น้ำสายบุรี ม.1 ต.มาโมง ม.4  ต.สุคิริน  อ.สุคิริน               
จ.นราธิวาส















น้ำตกหินงาม ม.4 ต.เกียร์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส

                               
น้ำตกไอร์ดาลอ ม.2 ต.มาโมง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส















โครงการนาขั้นบันได ตามพระราชดำริ ม.2 ต.มาโมง จ.นราธิวาส
















การเดินทางไป นราธิวาส

โดยรถไฟ:มีรถไฟออกจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทุกวัน ขบวนกรุงเทพฯ–ตันหยงมัส (นราธิวาส)-สุไหงโกลก สอบถามรายละเอียดได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 เว็บไซต์ www.railway.co.th

โดยรถยนต์:จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร และทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง หาดใหญ่ และต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 42 เข้าสู่จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ระยะทางประมาณ 1,149 กิโลเมตร

โดยรถประจำทาง:มีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน สายกรุงเทพฯ-นราธิวาส ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชั่วโมง

สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.1490 www.transport.co.th
ปัจจุบันบริษัท ขนส่ง จำกัด ได้เปิดให้บริการจองตั๋วรถโดยสารออนไลน์แล้ว ติดต่อได้ที่ www.thaiticketmajor.com นอกจากนี้ยังสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ไทยรูท ดอทคอม www.thairoute.com

โดยเครื่องบิน:
สายการบินไทยแอร์เอเชียมีเที่ยวบินไป-กลับกรุงเทพ-นราธิวาส ทุกวัน สอบถามข้อมูลได้ที่โทร. 0 2515 9999 หรือwww.airasia.com

การเดินทางภายใน นราธิวาส

ในตัวเมืองนราธิวาสมีรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่างๆ ได้อย่างสะดวก นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการยานพาหนะได้หลายรูปแบบตามอัธยาศัย สอบถามรายละเอียดได้ที่สถานีขนส่งนราธิวาส โทร. 0 7351 1845

นอกจากนี้ยังมีรถสองแถวไปยังอำเภอต่างๆ เช่น สุไหงโกลก ตากใบ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คิวรถจะอยู่ในสถานีขนส่ง

ระยะทางจากอำเภอเมืองนราธิวาสไปยังอำเภอต่างๆ คือ

อำเภอสุคิริน 112 กิโลเมตร

                                                                                                              รายงานโดย
                                                                                                                มารูดิง  เส๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บทความการท่องเที่ยว ประเพณีวัฒนธรรม และความรู้สึกในการอบรม

1.ยินดีต้อนรับเข้าสู่..
                              เว็บบล็อกของ
                                           นายมารูดิง   เส๊ะ
http://photopeach.com/album/a9obyy
http://photopeach.com/album/objf1i?ref=more

2. การท่องเที่ยว
                        2.1จังวัดปัตตานี มัสยิดกรือเซะ



ตั้งอยู่ริมถนนสายปัตตานี-นราธิวาสหรือทางหลวงแผ่นดินสาย 42 บริเวณบ้านกรือเซะ ห่างจากตัวเมืองปัตตานีประมาณ 7 กิโลเมตร ลักษณะการก่อสร้างมัสยิดแห่งนี้เป็นแบบเสากลมก่ออิฐปูนแบบศิลปะทางตะวันออกกลาง ส่วนที่สำคัญที่สุดคือหลังคาโดมซึ่งยังสร้างไม่แล้วเสร็จมัสยิดเก่าแห่งนี้มีตำนานเล่าว่าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวสาปแช่งไว้ไม่ให้สร้างเสร็จ บริเวณใกล้เคียงนั้นมีฮวงซุ้ยหรือที่ฝังศพเจ้า

                          2.2 จังหวัดนราธิวาส


ชายหาดนราทัศน์ เป็นหาดทรายขาวสะอาดยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ไปสิ้นสุดที่ปลายแหลมด้านปากแม่น้ำบางนราซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันเรือกอและที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีด้วย แนวสนทำให้บรรยากาศริมทะเลร่มรื่นมากขึ้น ชาวบ้านนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจกันที่นี่ ใกล้ๆ กันมีหมู่บ้านชาวประมงตั้งกระจัดกระจายตามริมแม่น้ำบางนรา และบริเวณเวิ้งอ่าวมีเรือกอและของชาวประมงจอดยู่มากมาย อยู่เลยจากตัวเมืองนราธิวาสไปตามถนนสายพิชิตบำรุง ประมาณ 1 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถจักรยานยนต์ รถสามล้อถีบหรือรถสองแถวเล็กจากตัวเมืองนราธิวาสไปยังหาดนราทัศน์ได้สะดวก

                 2.3 จังหวัดยะลา
          
                                                    

บ่อน้ำร้อน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของเบตงที่มีน้ำพุเดือดขึ้นมาจากพื้นดินในหมู่บ้านจะเราะปะไร ตำบลตาเนาะแมเราะ ก่อนถึงอำเภอเบตง 5 กิโลเมตร บนทางหลวงหมายเลข 410 มีทางแยกขวาไปอีก 8 กิโลเมตร ตรงจุดบริเวณที่น้ำเดือดสามารถต้มไข่สุกภายใน 7 นาที มีบริการห้องอาบน้ำแร่ ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำร้อนสามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยและรักษาโรคผิวหนัง

3. ประเพณีและวัฒนธรรม


พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เป็นเขตที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ซึ่งในอดีตเคยเป็นทีมีการค้าขายกับชาติตะวันตกมาก่อน ประเทศที่มาค้าขายส่วนใหญ่จะเป็นประเทศมหาอำนาจที่เคยล่าอนานิคมในแถบเอเชียตะวันออกเชียงใต้ คือ โปรตุเกส ฮอลันด้า และฝรั่งเศส หลังจากนั้นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนชายใต้มีการติดต่อค้ากับรัฐไทรบุรีของมาเลเซียจนเกิดความสัมพันธ์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกัน จนทำให้พื้นที่ 3 จัหวัดชายแดนใต้มีความหลากหลายทางด้านประเพณี และวัฒนธรรม       

ความหลากหลายทาง ประเพณี และวัฒนธรรมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เช่น ภาษา การแต่งกาย เป็นต้น แต่ความหลากหลายดังกล่าว ก็มิได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งแต่อย่างใด ต่างคนต่างก็เคารพ และยอมรับประเพณีซึ่งกันและกัน โดยสามารถปฏิบัติเมื่อถึงช่วงเวลาปฏิบัติของเพณีนั้นๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา ตรงนี้แหละ ทำให้สังคมในพื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความแตกต่าง ที่ไม่เคยแตกแยก และยิ่งส่งผลดี เพราะจะได้มีการเรียนรู้ เข้าใจ ประเพณี และวัฒนธรรมของกันและกันได้ นี่คือ สีสันแห่งความหลากหลายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้       
เทศกาลอาซูรอ   หมายถึง พิธีทำขนมซูรอของมุสลิม ตรงกับวันที่ 10 เดือนมูฮารัม (เดือนแรกของศักราชอิสลาม) จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุกาณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม ประวัติศาสตร์อิสลามบันทึกว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัย ท่านศาสดานุฮ์ ได้นำบรรดาสาวกของท่าน พร้อมด้วยพืชพรรณธัญญาหารหลากหลายประเภท ลงเรือลำหนึ่ง และต่างก็อาศัยอยู่กินกันบนเรือดังกล่าวจนถึงวาระสิ้นสุดของมหาอุทกภัยนั้น และต่างก็พ้น จากมหาอุทกภัย เสบียงอาหารที่เหลืออยู่นั้น ท่านศาสดาได้สั่งให้บรรดาสาวกนำมาปรุงอาหารรับประทานกัน

 “อาซูรอ” เป็นภาษาอาหรับแปลว่าชื่อของวันที่ 10 เดือนมุฮัรร็อม (เดือนที่ 1 ตามปฏิทินอิสลาม) เป็นช่วงของการจัดกิจกรรม เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ชาวมุสลิม จึงได้ปฏิบัติตามแบบอย่าง ของท่านศาสดา(ซุนนะฮ์) จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ชุมชนมุสลิมจึงได้จัดงานเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการเอาข้าว ถั่ว งา เนื้อหรือไก่ และผลไม้บางชนิดมากวนเป็นอาหารและแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านและคนยากจน คาวบ้าง หวานบ้าง เรียกชื่อตามความสำคัญของวันว่า " อาซูรอ "       

แล้วจะแจกให้กับคนจนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นๆ         งานอาซูรอ เป็นประเพณี วัฒนธรรมหนึ่งที่ปฏิบัติกันทุกปีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาซูรอ เป็นประเพณีของชาวมุสลิม แต่ถ้าหากผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ หรือ คนจีนจะมาร่วมงานด้วยก็ได้โดยไม่มีปัญหา อาจเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้กระชับความสัพันธ์ให้แต่ละศาสนามีความไกล้ชิด และสร้างความสัมพันธ์มากขึ้น ในเดือนนี้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่มักจะถือปฏิบัติโดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ หากบ้านไหนมีความประสงค์ที่จะทำ อาซูรอ ก็สามารถทำได้ โดยศาสนามิได้บังคับใดๆทั้งสิ้น เพราะเป็น (ซุนนะฮ์) ถ้าทำแล้วได้บุญ ถ้าไม่ทำก็ไม่เป็นไร ในเดือนนี้เราจะได้เห็นการรวมตัวของชาวมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ เพราะการทำ อาซูรอ ต้องแต่ละครั้งต้องใช้ผู้ทำจำนวนหลายๆ คน ช่วยกันกวนในกะทะใหญ่ เสร็จ

แต่ในปัจจุบัน เทศกาลอาซูรอ กำลังจะถูกมองข้ามจากคนรุ่นหลัง และกำลังจะเลือนหายไปจากสังคม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเกิดจากปัญหาหลายๆ ปัจจัยที่มีผล คือ การพัฒนาของเทคโนโลยี และความขัดแย้งภายใน ที่มีบางกลุ่มไม่ยอมรับประเพณีดังกล่าว จนทำให้บางพื้นที่แถบไม่มี การปฏิบัติของประเพณี วัฒนธรรมนี้อีกเลย       
ดังนั้น หากมองภาพรวมในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่มักที่จะละเลย ไม่เห็นถึงความสำคัญจนในตอนนี้ประเพณี วัฒนธรรม อาซูรอ กำลังที่จะเลือนหายไปจากสังคมมุสลิม และในอนาคต เยาวชนคนรุ่นหลังอาจไม่รู้จัก งาน อาซูรอ อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนควรที่จะรักษาประเพณีดั้งเดิมของชาวมุสลิมให้คงอยู่กับคนมุสลิมรุ่นหลังต่อๆไป..



3.ความรู้สึกในการอบรมคอมพิเตอร์

 มีความพอใจด้านหลักสูตรและสื่อในระดับมาก โดยเฉพาะมีความเห็นว่า หลักสูตรสามารถนำไปใช้ได้จริง มีรายละเอียดเหมาะสม และมีการเรียงลำดับหัวข้อต่าง ๆ เป็นไปอย่างเหมาะสม สื่ออ่านเข้าใจง่าย สามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ เนื่องมาจากการจัดหลักสูตรได้มีการสำรวจความต้องการ และนำหลักสูตรที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน เช่น การส่งผลงาน การทำกิจกรรมต่าง ๆ แม้ว่าจะเป็น การค้นหาข้อมูลจาก google  หรือการสร้างเว็บบล็อก และการสร้างเว็บ blogger  เป็นต้น

การอบรมจบด้วยดี

                                                                 บรรยากาศในการอบรมฯ


                                                              ความตึงเครียดในการอบรมฯ       

สวัสดีคับ
byebye

การท่องเที่ยวอำเบตง


แหล่งท่องเที่ยวอำเภอเบตง
           เบตง เป็นอำเภอขนาดใหญ่ในจังหวัดยะลา นับเป็นอำเภอใต้สุดของประเทศไทย ตั้งเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ. 2441 คำว่า "เบตง" (Betong) มาจากภาษามลายูว่า "Buluh Betong" หมายถึง ไม้ไผ่ หรือ ไผ่ตง
           เดิมพื้นที่ที่เป็นอำเภอเบตงขึ้นอยู่กับเมืองรามันซึ่งเป็น 1 ใน 7 หัวเมืองของมณฑลปัตตานี ต่อมาในปี พ.ศ. 2411 ได้ตั้งขึ้นเป็นอำเภอ ชื่อว่า อำเภอยะรม (ตั้งอยู่บ้านฮางุส หมู่ที่ 1 ตำบลเบตง) แบ่งการปกครองออกเป็น 6 ตำบล คือ ตำบลเบตง ตำบลยะรม ตำบลอิตำ ตำบลโกรเน ตำบลบาโลน และตำบลเซะ (โกร๊ะ)
           ต่อมาในปี พ.ศ. 2442 จากผลการปักปันแดนระหว่างไทยกับมลายา (อาณานิคมของอังกฤษ) เป็นเหตุให้ตำบลอิตำ ตำบลโกรเน ตำบลบาโลน และตำบลเซะ (โกร๊ะ) รวม 4 ตำบล ถูกตัดออกจากอำเภยะรมไปรวมอยู่กับรัฐเประในมลายา อำเภอยะรมจึงเหลือการปกครองอยู่เพียง 2 ตำบล คือ ตำบลเบตงและตำบลยะรม ต่อมาได้มีการจัดตั้งตำบลอัยเยอร์เวงและตำบลฮาลา ซึ่งจากหลักฐานปรากฏว่า มีตำบลอัยเยอร์เวงในปี พ.ศ. 2462 และมีตำบลฮาลาในปี พ.ศ. 2486
          ต่อมาอีก 21 ปี ในปี พ.ศ. 2473 สมัยที่พระพิชิตบัญชาการเป็นนายอำเภอ ได้ย้ายที่ตั้งที่ว่าการอำเภอจากบ้านฮางุส หมู่ที่ 1 ตำบลเบตง มาตั้งอยู่ที่บ้านกำปงมัสยิด หมู่ที่ 6 ตำบลเบตง พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อจาก "อำเภอยะรม" เป็น อำเภอเบตง ซึ่งเป็นภาษามาเลย์ มีความหมายว่า "ไม้ไผ่" (ที่ว่าการอำเภอหลังเก่าตั้งอยู่ใกล้กับสถานีตำรวจภูธรเบตงปัจจุบัน) และในปี พ.ศ. 2481 ได้ตั้งตำบลตาเนาะแมเราะ ปี พ.ศ. 2482 ได้ยุบตำบลฮาลาไปรวมกับตำบลอัยเยอร์เวง รวมทั้งได้ประกาศตั้งเทศบาลตำบลเบตงโดยครอบคลุมพื้นที่ตำบลเบตงทั้งหมด
          ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2527 กระทรวงมหาดไทยประกาศตั้งตำบลธารน้ำทิพย์ ทำให้อำเภอเบตงมีการปกครองรวม 5 ตำบล คือ ตำบลยะรม ตำบลอัยเยอร์เวง ตำบลตาเนาะแมเราะ และตำบลธารน้ำทิพย์จนถึงปัจจุบัน
          ต่อมาได้ย้ายที่ตั้งที่ว่าการอำเภออีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 มาตั้งอยู่ที่ปัจจุบัน โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธานเปิดอาคารหลังใหม่
อำเภอเบตง
  เมืองในหมอก
     ดอกไม้งาม


          เมืองเบตง เป็นอำเภอชายแดนใต้สุดของประเทศไทย อยู่ห่างจากยะลา 115 กม. เบตงเป็นเมืองใหญ่ มีความเจริญ ทัดเทียมกับจังหวัดยะลาเลยทีเดียว มีอาคารร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมมากมาย มีถนนเชื่อมสู่เขตสหพันธรัฐ มาเลเซียตรงด่านเบตงซึ่งอยู่ใต้สุดของเขตแดนไทย ตัวเมืองตั้งอยู่ในเขตที่โอบล้อมด้วยทิวเขาสูงอากาศเย็นสบาย สามารถปลูกดอกไม้ได้ทั้งปี "จนได้ชื่อว่าเมืองในหมอก ดอกไม้งาม" มีนกนางแอ่นเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ช่วงเดือนกันยายน-มีนาคม จะมีนกนางแอ่นมาพักอาศัยในเมืองนี้นับหมื่นตัว






          บ่อน้ำร้อนเบตง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของเบตงที่มีน้ำพุเดือดขึ้นมาจากพื้นดินในหมู่บ้านจะเราะปะไร ตำบลตาเนาะแมเราะ ตรงจุดบริเวณที่น้ำเดือดสามารถต้มไข่สุกภายใน 7 นาที มีบริการห้องอาบน้ำแร่ ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำร้อนสามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยและรักษาโรคผิวหนังได้







          น้ำตกอินทสร อยู่ห่างจากตัวเมืองเบตง 15 กิโลเมตร หรือเลยจากบ่อน้ำร้อนเบตงไปอีก 2 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่เกิดจากภูเขา รอบบริเวณปกคลุมด้วยป่าไม้ร่มรื่น และมีแอ่งน้ำสามารถว่ายน้ำเล่นและพักผ่อนได้เป็นอย่างดี






           อุโมงค์เบตง ตั้งอยู่หมู่ 2 บ้านปิยะมิตร 1 ตำบลตะเนาะแมเราะ เข้าทางเดียวกับบ่อน้ำร้อนเบตง อยู่ถัดจากน้ำตกอินทสรไปอีก 3 กม. เป็นอุโมงค์ดินซึ่งอดีตขบวนการโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) สร้างขึ้น บนเนินเขาในป่าทึบ สำหรับเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมือง ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง





          ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในประเทศ ตั้งอยู่ในตัวอำเภอเบตง บนถนนสุขยางค์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 โดย คุณสงวน จิระจินดา อดีตนายไปรษณีย์ โทรเลขอำเภอเบตง เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของอำเภอเบตงในเรื่องการติดต่อสื่อสาร ตู้ไปรษณีย์เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก รูปกลมทรงกระบอก แยกได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนฐานและส่วนตัวตู้ ส่วนสูงของตัวตู้คือ 290 เซนติเมตร หากนับจาก ฐานขึ้นไปรวมความสูงของตู้ด้วยวัดได้ 320 เซนติเมตร ปัจจุบันตู้ไปรษณีย์ใบนี้ก็ยังคงใช้งานอยู่